ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานออฟฟิศหรือเป็นผู้ประกอบหน้าใหม่ล้วนทำงานหนักไม่เว้นแต่ละวัน การพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวจะต้องทุ่มเทเวลาอย่างมาก แต่การทำงาน 80-100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งใช้เวลาระหว่าง 12-15 ชั่วโมงต่อวันทำให้อ่อนล้าเหน็ดเหนื่อยเกินไป หลายคนครุ่นคิดเรื่องงานเกือบตลอดเวลาโดยไม่มีวันหยุดพักผ่อนทำให้ชีวิตเสียสมดุล นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทำงานมากกว่า 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ก็ยังคงใช้ชีวิตส่วนตัวได้เต็มที่ มีเวลาออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่างๆ นั่นเพราะคนเหล่านั้นสามารถแบ่งเวลาและวางแผนชีวิตได้ดีนั่นเอง การสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตที่มีความสุขมีเคล็ดลับดี ๆ ดังนี้
เทคนิคการสร้างสมดุลในการทำงาน
1.จัดลำดับความสำคัญและบริหารเวลาอย่างรอบคอบ แน่นอนว่าพูดง่ายกว่าทำ เพราะระหว่างการทำงานมีเรื่องเข้ามารบกวนสมาธิมากมาย ควรตั้งใจทำงานที่สำคัญให้เสร็จลุล่วงก่อน ค่อยๆทำงานให้เสร็จสิ้นไปทีละอย่างโดยใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
2.เมื่อหลุดจากที่ทำงานไปแล้วควรถอดปลั๊กเข้าสู่ชีวิตส่วนตัวทันที หัดรู้จักปฏิเสธบ้าง ไม่จำเป็นต้องหอบงานกลับมาทำที่งานอีก เว้นแต่จะเป็นเรื่องเร่งด่วนจริง ๆ ปิดโทรศัพท์ประมาณ 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน ลบทุกอย่างออกจากสมอง ไม่เล่นเฟซบุ๊ก ไม่แชทไลน์ ไม่เช็คอีเมล ปล่อยให้เวลานอนให้พักผ่อนสมองอย่างเต็มที่เพื่อชาร์จพลังงานให้ตื่นมาพร้อมรับมือกับงานในวันต่อไป ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความความเครียดและความกังวล
3.ปรับตารางเวลาอย่างยืดหยุ่น บางสัปดาห์มีปริมาณงานมากกว่า ต้องเปลี่ยนตารางเวลาให้เหมาะสม โดยเพิ่มเวลาทำงานมากขึ้นเพื่อให้งานที่รับผิดชอบสำเร็จด้วยดี ชีวิตและการทำงานไม่มีสูตรตายตัว เป็นความจริงที่คนเราจะแยกชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัวได้ยาก แต่เป็นสิ่งจำเป็นมากถ้าต้องการสร้างความสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ โดยจะต้องทำงานเต็มที่ในเวลาง่าย และเตือนตัวเองเสมอว่าต้องมีชีวิตส่วนตัวนอกเวลาทำงาน ฝึกฝนวิธีการบริหารเวลาอย่างยืดหยุ่น เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้ทำสองสิ่งควบคู่กันไปได้อย่างกลมกลืน ไม่เกิดความเครียดหรือเหน็ดเหนื่อยเกินไป
4.การหาความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานไม่ใช่แค่เรื่องเวลาดูแลเด็ก ๆ หรือเล่นโยคะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสมดุลทางจิตใจ มีช่วงเวลาสงบสติอารมณ์และออกกำลังกาย จำเป็นต้องวางแผนใช้เวลาอย่างฉลาด เพราะเวลามีเพียง 24 ชั่วโมงต่อวัน ต้องคิดและเลือกอย่างรอบคอบว่าจะใช้เวลาแต่ละนาทีอย่างไร เป็นธรรมดาของคนทำงานที่ความคิดจะผูกพันอยู่กับงาน ควรประเมินการทำงานในแง่ของเป้าหมาย จะทำอย่างไรให้งานสำเร็จ ไม่ใช่แค่คิดจะทำให้ครบชั่วโมงทำงานเท่านั้น
โค้ชธุรกิจและโค้ชชีวิตเป็นที่นิยมมากในยุคสมัยนี้ ถ้าตัวเราเองบริหารจัดการเวลายากลำบาก บางครั้งความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญอาจช่วยแก้ไขได้ โดยโฟกัสไปที่สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานั้น งานอาจเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิต แต่ถ้าตรากตรำกับงานหนักจนสุขภาพเริ่มเสื่อมถอย สุขภาพอาจเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในเวลานั้น เมื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีแล้ว จึงจะมีพลังกายและใจรับมือกับงานหนักและก้าวไปสู่เส้นทางความสำเร็จได้ในที่สุด